สาธารณรัฐคีร์กิซ (Kyrgyz Republic)

 

 

 

 
 

 

 

ข้อมูลพื้นฐาน

 
ที่ตั้ง
อยู่ในเอเชียกลาง ทางทิศตะวันตกของจีนและทิศใต้ของคาซัคสถาน
 
ประชากร
5.1 ล้านคน (2548) ชาวคีร์กิซร้อยละ 75.5 อุซเบกร้อยละ 13.8
 
เมืองหลวง
บิชเคก (Bishkek) (ประชากร 5.8 แสนคน)
 
ภาษา
คีร์กิซและรัสเซียเป็นภาษาราชการ
 
ศาสนา
อิสลามนิกายสุหนี่เป็นส่วนใหญ่
 
เวลา
ซอม (Som)  อัตราแลกเปลี่ยน  1 USD = 1,200  UzS  (กุมภาพันธ์ 2549)
 
ระบบการเมือง
เร็วกว่ามาตรฐาน GMT 5 ชั่วโมง
 
ประมุข

ประธานาธิบดีเป็นประมุขและทำหน้าที่ในการบริหารประเทศ

 
 

ข้อมูลเศรษฐกิจ

 
GDP at current price
8.5 พันล้านดอลลาร์ (2004)
 
GDP per capita (PPP)
1,700 เหรียญดอลลาร์ (2004)
 
ทรัพยากรธรรมชาติ
ทองคำ ยูเรเนียม ปรอท ถ่านหิน พลังงานไฟฟ้าจากน้ำ 
 
สินค้าเข้าสำคัญ
ผลิตภัณฑ์น้ำมัน ผลิตภัณฑ์จากป่าไม้ สินค้าเกษตรแปรรูป อาหาร สินค้าหัตถกรรม เมล็ดพืชไม้ ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เชื้อเพลิง เครื่องจักรกล เสื้อผ้า
 
สินค้าออกสำคัญ
เชื้อเพลิง แร่ โลหะ เครื่องจักรกล  อุปกรณ์เกี่ยวกับการขนส่ง เคมีภัณฑ์ ยาสูบ ขนสัตว์ ฝ้าย
 
สกุลเงิน
ซอม (Som) 1 เหรียญสหรัฐฯ = 46.65 ซอม (2004)
 
 
ประวัติศาสตร์โดยสังเขป
 
 

          นักประวัติศาสตร์ศึกษาพบว่าบรรพบุรุษชาวคีร์กิซเป็นพวก Turkic ซึ่งอาศัยในดินแดนตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศมองโกเลียในปัจจุบัน และย้ายถิ่นฐานไปในเขตไซบีเรียตอนใต้ จนกระทั่งในศตวรรษที่ 15 จึงได้ตั้งถิ่นฐานในดินแดนสาธารณรัฐคีร์กิซในปัจจุบัน ในอดีตดินแดนสาธารณรัฐคีร์กิซเคยถูกครอบครองโดยจีนและอุซเบก จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1876 คีร์กิซ ได้ถูกผนวกเข้ากับอาณาจักรรัสเซีย ต่อเนื่องไปถึงปี ค.ศ. 1918 ภายใต้การปกครองของสหภาพโซเวียต จนกระทั่งได้รับสถาปนาเป็นหนึ่งในสาธารณรัฐของสหภาพโซเวียตในปี ค.ศ. 1936 คีร์กิซสถาน (หรือสาธารณรัฐคีร์กิซ) ในปี ค.ศ.1990 นาย Askar Akarkev ได้รับเลือกตั้งประธานาธิบดีคนแรก และต่อมาในปี ค.ศ. 1991 สาธารณรัฐคีร์กิซได้รับเอกราชจากสหภาพโซเวียต และเข้าร่วมเป็นสมาชิกกลุ่มประเทศเครือรัฐเอกราช (CIS)สาธารณรัฐคีร์กิซประสบความสำเร็จในการปฏิรูปเศรษฐกิจจนกลายเป็นประเทศแรกในอดีตสหภาพโซเวียตที่เข้าเป็นสมาชิก WTO (ค.ศ.1998)


 

สถานการณ์การเมืองในปัจจุบัน

 
 
          เมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ. 2005 ประชาชนได้ก่อจลาจลเพื่อประท้วงผลการเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎร และการบริหารประเทศของประธานาธิบดี Askar Akarkev อีกทั้งยังมีประเด็นความขัดแย้งทางเชื้อชาติmujมีชาวอุซเบกเป็นชนกลุ่มน้อยและเป็นพรรคฝ่ายค้านจนทำให้นาย Akarkev ต้องลาออกจากตำแหน่ง และนาย Kurmanbek Bakiev ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ.2548 สถานการณ์ดังกล่าวได้แสดงให้เห็นแนวโน้มการล้มอำนาจของประเทศที่มีรัฐบาลเผด็จการและมีผู้นำที่อยู่ในอำนาจมานาน โดยก่อนหน้านี้ คือ จอร์เจีย (2003) และยูเครน (2004) โดยสันนิษฐานว่าสหรัฐฯ อยู่เบื้องหลังซึ่งเป็นความพยายามในการบั่นทอนอำนาจและอิทธิพลรัสเซีย ทั้งนี้คีร์กิซและเอเชียกลางกลายเป็นพื้นที่สำคัญที่มีการถ่วงดุลอำนาจระหว่างสหรัฐฯ และรัสเซีย ซึ่งทั้งสองได้ตั้งฐานทัพอยู่ในคีร์กิซสถานด้วย
 
 

สภาวะทางเศรษฐกิจปัจจุบัน

 

          เนื่องจากโครงสร้างทางเศรษฐกิจของสาธารณรัฐคีร์กิซนั้นส่วนใหญ่เป็นสังคมเกษตรกรรม และ ประชากรส่วนใหญ่ยากจน จึงต้องมีการปฏิรูปประเทศอย่างเป็นขั้นตอน โดยคำนึงถึงรากฐานความไม่เท่าเทียมกันทางสังคมและทางเชื้อชาติ และต้องพยายามยกระดับมาตรฐานการครองชีพให้สูงขึ้น เพื่อบรรเทาความรุนแรงที่เกิดจากความขัดแย้งจากความไม่เท่าเทียมกันในสังคม

          ปัจจุบันรัฐบาลส่งเริมให้เอกชนเข้ามามีบทบาททางเศรษฐกิจให้มากที่สุด อย่างไรก็ตามกิจการบางอย่าง อาทิ กิจการเหมืองแร่และการผลิตพลังงานไฟฟ้า รัฐวิสาหกิจยังคงมีบทบาทมาก  โดยกิจการด้านอุตสาหกรรมถึงร้อยละ 90 ยังเป็นของรัฐ  สาธารณรัฐคีร์กิซมีพลังงานไฟฟ้าเป็นสินค้าส่งออกด้านพลังงานเพียงอย่างเดียว แต่โดยที่ตลาดพลังงานไฟฟ้าสำคัญของสาธารณรัฐคีร์กิซ ทั้งนี้ความหวังในระยะยาวของคีร์กิซอยู่ที่การขุดเจาะน้ำมัน ซึ่งจากการร่วมสำรวจของสาธารณรัฐคีร์กิซและสหรัฐฯ ได้พบแหล่งน้ำมันที่น่าสนใจหลายแหล่ง

          สภาวะเศรษฐกิจและการลงทุนในรัฐบาลของประธานาธิบดี Kurmanbek Bakiev ไม่ได้ต่างจากในสมัยนาย Askar Akarkev อีกทั้งยังมีการคอรัปชั่นและกลุ่มอาชญากรเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังคงมีปัญหาการปฏิบัติไม่เท่าเทียมกันระหว่างชาวคีร์กิซ และอุซเบก

 
 

โอกาสการค้าการลงทุน

 
          คีร์กิซสถานเป็นประเทศเดียวในเอเชียกลางที่มีกฎหมายคุ้มครองการลงทุนจากต่างประเทศ กฎหมายให้สัมปทานแก่นักลงทุนต่างชาติ รัฐบาลยังได้ประกาศให้บิชเคกเป็นเขตการค้าเสรีเพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ โดยให้มีการเก็บภาษีสินค้าเข้าเพียงร้อยละ 10 และไม่มีการเก็บภาษีสำหรับสินค้าออก นักลงทุนต่างประเทศที่มาร่วมลงทุนกับคีร์กิซสถานจะได้รับการยกเว้นภาษีในช่วง 2-5 ปีแรก แต่หากเป็นการลงทุนร่วมในเขตการค้าเสรี จะได้รับการยกเว้นภาษี อย่างไรก็ตาม คีร์กิซอยู่ห่างไกลจากตลาดโลก การขนส่งสินค้ามีต้นทุนสูงทำให้ราคาสินค้าสูงตามไปด้วย อย่างไรก็ตาม มีการสร้างเส้นทางรถไฟจากเอเชียกลางไปยังเมือง
ท่าบันดาร์ อับบาส (Bandar Abbas) ของอิหร่าน

          คีร์กิซสถานประสงค์จะดึงดูดนักลงทุนต่างประเทศให้เข้าไปลงทุนในด้านเหมืองแร่ทองคำ พลังงาน อุตสาหกรรมผลิตสินค้าอาหาร สินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆ และการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร โดยมีสินค้าหลักคือ ฝ้าย ขนแกะ ไหม ฟาง ป่าน หนังสัตว์ เนื้อสัตว์ ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ ผัก และผลไม้  ซึ่งยังคงได้รับการอุดหนุนจากรัฐบาล แต่โดยที่คีร์กิซสถานยังขาดทักษะในการ packaging มูลค่าการส่งออกของประเทศจึงยังมีน้อยกว่ามูลค่าการนำเข้า

 

ไทยกับสาธารณรัฐคีร์กิซ

 
สถาปนาความสัมพันธ์
6 สิงหาคม 2535
 
เอกอัครราชทูต
นายสรยุตม์ พรหมพจน์ (ถิ่นพำนัก ณ กรุงมอสโก)
 
มูลค่าการค้า
88.9 ล้านบาท
 
ไทยส่งออก
81.9 ล้านบาท
 
ไทยนำเข้า
7 ล้านบาท
 
นักท่องเที่ยว
ประมาณ 500 คน ต่อปี
 
 
 
 
* * * * * * * * * * * *
 
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมอสโก